ไปฮ่องกงมาครับ แต่ไปมาเมื่อเดือนที่แล้ว ไปเปิด Apple Store นั่นแหละ
นี่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตสำหรับการเดินทางไปฮ่องกงของผม ไปถึงสุวรรณภูมิก็ยังคงรู้สึกไม่คุ้นเคยเช่นเดิม อาจจะเพราะทางเข้าไปตรวจหนังสือเดินทางทั้งหลายมันเปลี่ยนจุดจากที่เคยเข้า (คราวนี้ไป TG ที่อยู่ทางปีกกลางเกือบซ้าย คราวก่อน ๆ ไป EK, AB ที่ทางเข้าอยู่ทางปีกขวา) ตอนอยู่บนเครื่องก็ได้พบกับผู้ร่วมทริป 2 ท่าน ท่านหนึ่งเป็นหมออีกท่านทำงานอยู่ในส่วนราชการของกระทรวงการคลัง (แต่ที่ทำงานอยู่ศูนย์ราชการฯ กรุงเทพ) ถือว่าโชคดีนะครับ เพราะเราไปถึงฮ่องกงก่อนที่พายุจะเข้าในสัปดาห์ต่อมา
ตอนลงเครื่องกะเหรี่ยง 3 คนก็งงเป็นไก่ตาแตกเพราะไม่เคยเดินทางเองทั้งนั้น เดินตามทางเพื่อไปสู่กระบวนการตรวจคนเข้าเมืองซึ่งต้องนั่งรถไฟใต้ดินจาก Terminal กลางสนามบินเข้าไปยังอีก Terminal ด้านนอก แล้วก็เดินอีกไกลพอสมควรจนถึงหน่วยตรวจคนเข้าเมือง ตอนนี้ก็ผ่านจุดซื้อของแล้ว 1 จุด ตรวจคนเข้าเมืองเสร็จก็ถึงจุดจำหน่ายบัตรเงินสด Octopus ถ้าให้นึกง่าย ๆ มันก็คือบัตร True Money นั่นแหละ แต่สามารถใช้ซื้อบริการได้เกือบทุกอย่างในฮ่องกงเลยและให้ส่วนลดสำหรับพาหนะขนส่งทุกประเภท เจออาตี๋ (พนักงาน MTR นั่นแหละ) ที่สนามบินก็พูดภาษาอังกฤษได้ชัดเจนดี ซื้อมา HK$ 100 รวมกับค่ามัดจำบัตรอีก HK$ 50
ซื้อบัตรเสร็จก็จึงออกมารับกระเป๋าตามสายพานแล้วจึงเดินออกมา ตอนแรกผู้ร่วมทริปจะใช้บริการรถไฟ Airport Express จากตัวสนามบินไปลงยังสถานี Hong Kong ซึ่งค่ารถไฟค่อนข้างแพง ผมเลยเสนอว่าลองไปเส้นทางของผมไหม เพราะพวกเราพักอยู่ย่าน Tsim Sha Tsui กันหมด เส้นทางของผมต้องนั่งรถ Shuttle Bus ออกจากสนามบิน (สาย S1) ไปต่อรถไฟที่สถานี Tung Chung แล้วไปเปลี่ยนขบวนที่สถานี Lai King เพื่อไปที่จุดหมายปลายทาง Tsim Sha Tsui ซึ่งค่าโดยสารถูกกว่าครึ่งหนึ่งเลย เมื่อตกลงกันได้เรียบร้อย จึงเดินออกไปรอรถที่สถานีจอดรถด้านนอก Terminal รอไม่นานรถ S1 ก็มา วิธีชำระค่าบริการก็ให้นึกถึง Metro Bus คือสามารถแสตมป์บัตร Octopus หรือจ่ายเป็นเงินสดเลยก็ได้ (ค่าเดินทางครั้งนี้ HK$ 4) นั่งรถวนไปวนมารอบหนึ่งก็ถึงสถานี Tung Chung แล้วจึงเดินเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้า ซึ่งก็คล้าย ๆ MRT ของเราคือต้องแสตมป์บัตรโดยสารก่อนเข้าสู่ระบบ ซึ่งสามารถใช้บัตร Octopus ได้ทันที
เห็นรถไฟเขาสภาพก็เหมือนกับ MRT บ้านเรานะ แต่ทรงรถเหมือนพวกรถไฟทางยุโรปมากกว่า (นึกถึง S-Bahn) ไม่เหมือนรถ BTS/MRT มีป้าย 2 ภาษาติดไว้ทั้งจีนกวางตุ้ง และภาษาอังกฤษ ป้ายโฆษณาบนรถไฟเป็นแค่ป้ายไฟ LED 3 สีธรรมดา ๆ (แดง ส้ม เหลือง) แต่ถือว่าเขาใช้มันได้คุ้มนะ พยายามใส่รูปและข้อความ ซึ่งจะต่างจากบ้านเราที่มักจะแค่ใส่รูปง่อย ๆ กับข้อความเสียมากกว่า เสียงประกาศบนรถไฟมี 3 ภาษา คือ จีนกวางตุ้ง จีนแมนดาริน และภาษาอังกฤษตามลำดับ สำหรับชื่อสถานีก็อ่านเป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษนะ ซึ่งถ้าฟังไม่ออกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อารมณ์เดียวกับ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ Victory Monument นั่นแหละ ไม่พยายามให้มันเป็น Anusaowareechai แบบป้ายข้างรถเมล์ (ฮา)
ถึง Tsim Sha Tsui ก็แยกย้ายกันเข้าที่พัก ที่พักผมตอนแรกที่จองไปก็ไม่คิดว่ามันจะน่ากลัวขนาดนี้นะ คือ ฮ่องกงเป็นประเทศที่คิดพื้นที่เป็นตารางฟุต ก็ทำให้คาดได้คร่าว ๆ ว่ามันน่าจะเล็กพอสมควร ที่พักผมเป็นของพวกแขกนะ (อ่านดูจากชื่อที่แขก ๆ) อยู่ในตึกที่มีทีวีอยู่ด้านหน้าตึกในย่าน Tsim Sha Tsui ซึ่งข้างล่างมีแขกเต็มไปหมดเลย ที่พักหลบอยู่ในอาคารชั้น 13 หรือ 15 นี่แหละ กว่าจะขึ้นไปได้ก็ต้องรอเข้าแถวขึ้นลิฟท์ที่แยกออกเป็นฝั่งชั้นคู่และชั้นคี่ พอถึงห้องพักก็พบว่ามันน่าตกใจมากนั่นคือ มันเล็กกว่าห้องน้ำที่บ้านอีก นี่คือพื้นที่ห้องน้ำรวมกับห้องนอนแล้วนะ พื้นที่โดยรวมคิดว่าไม่เกิน 14 ตารางเมตร มีเตียงอยู่ฝั่งหนึ่งแล้วก็เป็นห้องน้ำที่ย่อมเยามาก ฝักบัวอยู่บนโถส้วมเลย คาดผิดไปนิดหนึ่งที่ไม่ได้เอาพวกสบู่ยาสีฟันมา (เพราะคิดว่ามันน่าจะมีให้) ก็เลยได้ใช้สบู่ก้อนละประมาณช็อคโกแลตที่ระลึกแทน ที่น่าเจ็บปวดอีกอย่างคือช่องหน้าต่างในห้อง ซึ่งผมคิดว่ามันจะรับแสงได้นะ แต่ไป ๆ มา ๆ มันก็แค่ช่องว่างระหว่างตึกที่มืดแสนมืด (นั่นคือห้องนี้มันไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันเลย)
คืนแรก พวกเรา 3 คนก็มารวมตัวกันไปหาอะไรกินจนได้ ได้กินมะม่วงอันลือชื่อของฮ่องกง แล้วก็เจอร้านน้ำหอมราคาถูก Godswell แล้วผมก็ไปเปิดซิมโทรศัพท์ของ 3 เพื่อเอามาใช้กับ iPhone โดยหารู้ไม่ว่า ค่า APN ที่กำหนดมาใน IPCC นั้นเป็นค่าสำหรับ Postpaid ซึ่งสำหรับการใช้งาน Prepaid ต้องแก้เป็นอีกค่า! ก็ใช้เวลาเป็นวันกว่าจะทราบว่าต้องแก้ค่านี้ เพราะอ่านในคู่มือแบบผ่าน ๆ ตา ผมแทบจะไม่เห็นความแตกต่างของค่าเหล่านี้เลย (ฮา) ผลค้างเคียงสำหรับการแก้ไขค่า APN นี้คือ มันทำให้ไม่สามารถใช้ Personal Hotspot ได้ (iPad ก็เลยไม่สามารถใช้เนตได้ตามระเบียบ แต่ยังดีที่ Apple Store และที่พักมี Wifi ให้ใช้ฟรี)
วันรุ่งขึ้นก็รีบไป Apple Store แต่เช้า (จริง ๆ แล้วคืนนั้นนอนไม่หลับนะ อาจจะเพราะสลดกับสภาพที่พักก็ได้) กว่าระบบรถไฟจะเปิดให้ใช้งานก็ 6 โมงเช้า แถวหน้าร้านก็ยาวใช้ได้แล้ว (จริง ๆ ไปแอบดูรอบกลางคืนมาหนหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่อยากจะต่อ) หลังจากเสร็จกระบวนการในร้านก็เริ่มหาของที่ระลึกให้กับคนที่ฝากซื้อ ก็ทำให้ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะในฮ่องกง ได้เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ของเขา มีร้านหนังสือร้านหนึ่งที่อยู่ในเกาะฮ่องกง หลบอยู่ในอาคารที่ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า กว่าจะเดินถึงนี่ก็งงใช้ได้เลยเพราะมันไม่ได้อยู่ชั้นล่างติดดินแบบสิ่งที่เราคาดหวังว่าเราจะได้เจอแบบที่เคยเห็นในทางยุโรป คือที่ทางยุโรปเราคิดง่าย ๆ ว่าร้านค้ามันจะอยู่ติดดินเสมอ แต่ที่ฮ่องกงนี่ไม่ใช่นะ ร้านค้ามันสามารถอยู่ได้เกือบทุกที่เลย เพราะตัวอาคารเขาไม่ได้ปิดแบบที่ยุโรป เราสามารถเดินเข้าไปในอาคารเพื่อขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นต่าง ๆ ได้ โดยจะมีอาแปะหรืออาตี๋ รปภ. คอยเข้าอยู่หน้าลิฟท์
มื้อเที่ยง เลยของที่คุ้นเคย เนื่องจากบังเอิญว่าใกล้ ๆ ที่พักมี Ootoya ก็เลยลองดูว่ามันจะต่างจากที่ไทยไหม ผลก็คือต่างครับ ไม่มีชาฟรีไม่อั้นเหมือนไทย ไม่มีข้าวฟรีไม่อั้นเพราะให้เติมได้แค่ถ้วยเดียว พวกภาชนะต่าง ๆ บนโต๊ะก็ต่างออกไป ผักเคียงเป็นแค่ไขเท้าต้มธรรมดา ๆ (คงจะเหมาะกับรสปากของคนที่นี่) ส่วนเมนูที่สั่งก็เป็นหมูผัดกิมจิแบบที่กินที่ไทยแต่วิธีที่นี่เสิร์ฟมาเป็นกระทะร้อนแทน หลังจากทานเสร็จก็ได้มีโอกาสนั่งเรือแฟรี่ข้ามไปฝั่งฮ่องกง ได้กลิ่นความคาวของทะเล แล้วก็ไปหาของต่อในเกาะฮ่องกง
เดินจนเดินไม่ไหวเลยวันนี้ วันสุดท้ายขากลับก็ลองเปลี่ยนเส้นทางบ้าง ลองนั่งรถจากสถานี Hong Kong กลับไป Tung Chung แล้วขึ้น Shuttle Bus เข้าสนามบิน ปรากฏว่าต่อรถน้อยกลับแพงกว่าต่อรถเยอะในขามานะ ถึงสนามบินก็เจอดีอีกแล้ว เที่ยวบินขากลับของ TG ถูกยกเลิก เขาก็เลยโอนให้ผมนั่ง Hong Kong Airline กลับแทน ก็งง ๆ ดีครับแต่ได้ยินคนไทยที่กลับด้วยพูดว่า เป็นบ่อยนะ โอนสายการบินกันแบบนี้
กลับถึงไทย ปัญหาเรื่อง Personal Hotspot ก็กลับมาทำให้ผมมีปัญหาเสียแล้ว เพราะเมื่อสลับเอาซิม dtac กลับมาใช้เมนู Personal Hotspot ก็ยังไม่กลับมา ทางแก้ที่ทำก็คือ เอาซิม TOT มาเสียบแล้วกด Reset Setting ในหน้าจอตั้งค่า (ไม่ได้ Reset Network Setting นะ ไม่งั้น SSID ของ Wifi ที่เคยไปเชื่อมต่อไว้จะหายหมด) แล้วจึงเอาซิม dtac มาเสียบเหมือนเดิมก็จะกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม