พยายามถามคนที่เคยบวชเรียนจนในที่สุดก็ได้ชื่อของหลักนี้มา
กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล เรียกว่า เกสปุตตสูตร ก็มี กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ ไม่ให้เชื่องมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดี ก่อนเชื่อ มี ๑๐ ประการคือ
- อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
- อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
- อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
- อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
- อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
- อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
- อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
- อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
- อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
- อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ ๒๕๐๐ ปีก่อนได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียก ว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว
ยกมาจากกาลามสูตร
ใครที่ตกอยู่ในตัวเลือกต่อไปนี้ก็ขอให้ลองพิจารณาดูใหม่แล้วกันนะ (เหมือนตัวเองจะโดนเอาแถวๆ ข้อ 7, 8 นะ แต่เห้ยก็ผมคิดเองนี่ ผมไม่ได้กลืนโจ้กที่พ่นออกมาจากปากคนอื่นนะ)