Skip to main content

นโยบายแปลกๆ เกี่ยวกับ one to one ของ Apple

Submitted by ezybzy on

มีเมล์ภาษาไทยฉบับหนึ่งแจ้งมาเมื่อช่วงต้นเดือนว่า Apple เปลี่ยนนโยบายของ one to one จากเดิมที่รับลูกค้าผลิตภัณฑ์ Apple ไม่ว่าจะซื้อจากร้านใดก็ตามเป็นรับเฉพาะผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ Apple จากร้านของ Apple (ในเฉพาะประเทศที่มีร้านค้าของ Apple ตั้งอยู่รวมถึงร้านออนไลน์ของประเทศนั้น) เท่านั้น

ลูกค้าในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น แคนนาดา ออสเตรเลีย และจีน เท่านั้นที่มีสิทธิ์ซื้อบริการ one to one ได้ แล้วประเทศอื่นล่ะ? ฉันก็ลูกค้าเธอนะ ทำไมเธอกีดกันฉันไม่ให้ได้ซื้อบริการที่ดีของเธอล่ะ?

มองในแง่ดีกับทาง Apple เองคือ ลดปริมาณการใช้บริการ one to one ลงจากลูกค้านอกระบบของเขา (แน่นอนลูกค้าที่ซื้อตามตัวแทนจำหน่าย Apple จะไม่มีฐานข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้นจนกว่าเขาจะมากรอกลงทะเบียนเอง) แต่ในเชิงคนที่ซื้อผ่านร้านออนไลน์ที่อยู่ประเทศอื่นล่ะ? ผมคิดว่ามันก็ไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไร อย่างน้อยเราน่าจะได้เลือกบ้างนะ ซื้อคอมจากไทยไปใช้ที่ออสเตรเลียแล้วเกิดมีปัญหา อยากไปนั่งเรียนกับเขา อ้าวไม่มีสิทธิ์นะจ้ะเพราะคุณไม่ได้ซื้อ one to one ไว้

อยากให้ Apple ทบทวนในประเด็นนี้หน่อย (เขาคงอ่านภาษาไทยไม่ออกมั้ง?) หรือถ้าให้ดีก็มาตั้ง Store จริงๆ ในประเทศอื่นๆ ที่มีร้านออนไลน์บ้าง

ทำให้ iPhone แสดงค่าแบตเตอรี่ที่เหลือ

Submitted by ezybzy on
เกิดอาการมันเคี้ยว iPhone ของตัวเอง อยากให้มันแสดงว่า Battery ตอนนี้เหลืออยู่กี่เปอร์เซ็นต์แต่ไม่อยาก Jailbreak (เพราะยังทำไม่ได้)
Tags

การถืออัตตา

Submitted by ezybzy on

อัตตา มีคนให้ความหมายมันไว้ว่า ร่าง (คงไม่ได้หมายถึงเฉพาะร่างกาย) การถืออัตตาก็คือ การยึดมั่นถือมั่นในร่าง

เราแต่ละคนก็มีการถืออัตตา มากบ้างน้อยบ้าง ถือมากก็อาจจะเห็นแก่ตัวมากหน่อย (ก็ยึดมั่นให้กับตัวเองมากนี่นะ)

บางทีการที่ blame เรื่องของคนอื่นมากเกินไป ก็ถือว่าเป็นถืออัตตาอย่างหนึ่ง (กูไม่เคยผิด) ซึ่งตรงนี้ถ้าไม่รู้สึกตัวก็จะมีปัญหาต่อไปในอนาคต (อาจจะส่งผลเมื่อสุดท้ายเหลือแต่ตัวกูของกู ไม่เหลือคนอื่นแล้ว แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบุคคลว่าจะเชื่อในเรื่องมิตรอย่างไร หรือจะคิดแค่ว่าทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นแค่วัตถุใด ๆ ก็ได้มั้ง?)

บางทีการพยายามคิด พยายามปล่อยวาง มันก็ช่วยให้อะไรดีขึ้น เราพยายามเข้าใจคนอื่นให้มากขึ้น เงียบปากไปบ้าง อะไร ๆ มันก็น่าจะดีขึ้น (มั้ง?)

ปล. Google สอนธรรมะอีกแล้ว ฮาฮา

ปล.2 เทพจริงๆ ต้องนิ่งใช่ไหมนะ? โอเคครับ ผมจะพยายามนิ่งให้มากขึ้น แต่ผมจะไม่เป็นเทพ เพราะผมไม่ได้มีความประสงค์จะเป็นเทพใด ๆ ผมก็แค่มีความสุขที่จะเติมอะไรที่มันขาดให้เต็ม

Tags

ระบบอัตโนมือในเยอรมันและศิลปะในสถานีรถไฟใต้ดิน

Submitted by ezybzy on

เขียนไว้ที่ UBMTA เรื่องรถเมล์ คราวนี้ไม่ใช่เรื่องรถเมล์ แต่ก็เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันนั่นคือรถไฟ

อยู่ที่เยอรมันได้นั่งรถไฟเยอะมาก ก็ตามที่เคยเขียนไปคือรถไฟมีหลายประเภท เป็นรถรางประจำเมือง (TRAM), รถไฟของรัฐ (S-Bahn), รถไฟใต้ดิน (U-Bahn), รถไฟระหว่างเมืองอื่นๆ (RB, RE, IC, ICE, อะไรอีกซักอันนึกไม่ออก)

ลองนึกถึงภาพบ้านเราเวลานั่งรถไฟหลายๆ ประเภท เมื่อรถจอดนิ่งที่สถานีจะเกิดอะไรขึ้น? แน่นอนประตูรถทุกบานจะถูกเปิดออก ผู้โดยสารจะลงจะขึ้นก็เดินไป พอแน่ใจว่าไม่มีผู้โดยสารขึ้นลงแล้วประตูก็จะถูกปิด รถก็ออก

แต่ที่นี่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อรถถึงสถานี มันก็จะจอดอยู่อย่างนั้นเลย ถ้าไม่มีคนขึ้นคนลงในช่วงเวลาที่กำหนดมันก็จะออกไปเลย ประตูก็ปิดอย่างนั้น!

อาจจะสงสัยว่า เห้ยประเทศพัฒนาแล้วแบบนี้แค่เปิด-ปิดประตูอัตโนมัติทำไมทำไม่ได้? (ทีในห้างนี่แทบจะเปิดปูพรมอัตโนมัติเชิญเข้าเลย ฮา) เหตุผลมันมีครับ

เราอาจจะคุ้นๆ ภาพว่าสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินของเราอากาศค่อนข้างเย็น แถมมีประตูมากั้นขวางทางก่อนจะลงรถอีก (เปิดไว้ก็เปลืองไฟเครื่องปรับอากาศซิ) แต่ที่นี่อากาศเย็น (โดยไม่ต้องปรับอากาศ) และก็ไม่มีประตูกั้นขวางทางเชื่อมรถไฟด้วย การจะเปิดประตูรถไฟเล่นๆ บ่อยๆ ย่อมไม่ดีแน่ (ลมหนาวมันจะเข้ามาในระบบที่อุ่นๆ ทำให้ระบบต้องทำงาน แล้วคนที่อยู่ข้างในตัวรถคงจะไม่ชอบใจแน่ๆ) ดังนั้นทางออกสำหรับปัญหานี้ที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการให้ผู้ใช้กดเปิดประตูเอาเองถ้าต้องการขึ้น-ลงจากรถ

ทีนี้สำหรับผู้มาเยือนเช่นผม ก็จะประสบอาการงงนิดหน่อยเพราะยังยึดติดกับระบบอัตโนมัติของบ้านเรา มาเจออัตโนมือที่นี่ก็ทำอะไรไม่ถูก แถมรถไฟบางรุ่นยังเป็นระบบโยกเปิดประตูอีก (นั่ง Bahn อื่นๆ มันก็กดปุ่มอย่างเดียวนี่ มาเจอรถเก่าก่อนที่จะเป็นระบบกดปุ่มก็งงอีก) ไปไม่เป็นเลย

แต่จากการไปนั่งรถไฟใต้ดินในเมืองใหญ่หลายๆ เมือง ทำให้เห็นว่า เอ้อสถานีรถไฟใต้ดินนี่มันก็แนวใช่เล่นเลย คนที่นี่เขามีศิลปะดีนะ (ไม่ได้พูดถึง Graffiti ที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่กล่าวถึงเอกลักษณ์ของสถานี) ลวดลายบนกำแพงบริเวณที่เราจะยืนมองออกไปรอรถไฟฟ้าแต่ละสถานีก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง (อันนี้เข้าใจว่าทุกผู้ให้บริการคงต้องทำ เพื่อให้ผู้โดยสารไม่หลงสถานี เป็น Visual Guide ที่ดี) แต่ก็ต้องบอกว่าที่เห็นในบ้านเรานี่เด็กๆ มาก ที่นี่เขาอลังการกว่า และชั้นโดยสารของที่นี่เพดานกินถึงระดับของชั้นจำหน่ายตั๋วด้วย (นึกถึงสถานีลุมพินี) ซึ่งเมื่อผสมกับศิลปะบนกำแพงแล้วก็พบว่ามันเป็นงานศิลปะชิ้นใหญ่เลย (ไม่ได้ถ่ายรูปมานะ ไว้กลับไปเมืองใหญ่ๆ บางแห่งจะถ่ายมา)

Tags